10 อันดับตัวละครหญิงใน One Piece ที่แฟนคลับอยากแต่งงานด้วยมากที่สุด

One Piece หนึ่งในซีรีส์อนิเมะที่ได้รับความนิยมระดับโลกและมีแฟนคลับหนาแน่นมากที่สุดเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่าจากการที่มีแฟนคลับเยอะเช่นนี้ ก็ต้องมีแฟนคลับหลายคนที่รู้สึกว่าอย่างแต่งงานกับตัวละครหญิงในเรื่องด้วย ซึ่งในเรื่อง One Piece เองก็มีตัวละครหญิงหลายคน และแต่ละคนก็มีเสน่ห์กับความสามารถที่แตกต่างกันไป

ทางเว็บไซต์ AkibaSouken จึงได้มีการทำแบบสำรวจ “อันดับตัวละครหญิงใน One Piece ที่อยากแต่งงาน” ขึ้นมา โดยมีการจัดทำตั้งแต่วันที่ 1-10 มีนาคม 2021 มีผู้ลงคะแนนทั้งหมด 789 คน และ 10 อันดับแรกที่แฟนๆ อยากแต่งงานมากที่สุดมีดังนี้!

10 อันดับตัวละครหญิงใน One Piece ที่แฟนคลับอยากแต่งงานด้วยมากที่สุด

อันดับ 10 Shirahoshi

อันดับ 9 ร่วม Perona

อันดับ 8 ร่วม Nico Robin

อันดับ 6 ร่วม Rebecca

อันดับ 6 ร่วม Koala

อันดับ 5 Sugar

อันดับ 4 Nami

อันดับ 3 Boa Hancock

อันดับ 2 Makino

อันดับ 1 Nefertari Vivi

“สมกับเป็นองค์หญิง Vivi ทั้งสวยทั้งเก่งแบบนี้เอาที่หนึ่งไปเลย!ว่าแต่คนที่อยากแต่งงานด้วยไม่ใช่ว่าหวังผลอย่างอื่นหรอกนะ!”

ขึ้นชื่อว่า “ตำรวจ” ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ คือผู้ที่ยืนอยู่ระหว่างกฎหมายบ้านเมืองและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

แต่ไรมาหากติตดามข่าวบ้านการเมืองไม่ว่าจะในประเทศเราเอง หรือประเทศอื่นๆ เวลามีข่าวเกี่ยวกับตำรวจก็มักจะเป็นเรื่องราวไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ใช่ว่าคนในอาชีพนี้มีแต่คนที่ทำงานแล้วไม่เวิร์ค แต่น่าจะมาจากการที่ตำรวจเป็นอาชีพที่อยู่ใกล้ชิดกับกฎหมาย อยู่ในฐานะผู้ถือกฎหมายมาโดยตลอด พอมีคนในอาชีพดังกล่าวทำเรื่องผิดกฎหมายเสียเอง ก็ต้องโดนวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่แทนที่เราจะมองไปที่กลุ่มคนที่มีปัญหา นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ทำความรู้จักตำรวจที่ดีกันบ้าง แต่ถ้าจะไล่เช็คจากบุคคลจริงก็อาจจะต้องเช็คซ้ำจนเสียเวลามากไปสักหน่อย ดังนั้นเราเลยมองไปที่กลุ่มตำรวจในโลกอนิเมะที่เขาชัดเจนกันในการทำงานกันดีกว่า ว่ามีตำรวจคนไหนที่ถือว่าทำงานดี ให้ประชาชน (ในเรื่อง) พึ่งพากันได้บ้าง

เรียวจัง – KochiKame

KochiKame หรือที่ใช้ชื่อเต็มว่า Kochira Katsushika-ku Kameari Kouen-mae Hashutsujo อาจจะเป็นชื่อที่ชาวไทยไม่คุ้นเท่าไร แต่ถ้าบอกว่าอนิเมะเรื่องนี้คือ ‘คุณตำรวจป้อมยาม’ หลายคนก็น่าจะร้อง “อ๋อ” กันทันที และ เรียวซึ คังคิจิ หรือที่ถูกคนเรียกันว่า เรียวจัง ก็เป็นนายตำรวจตัวเอกของเรื่อง แม้ว่าเขาจะสร้างความปั่นป่วนให้กับหลายต่อหลายคนด้วยความไม่เอาอ่าว แต่เมื่อถึงเวลาที่มีคนเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือจริง เรียวจัง ก็ใช้พละกำลังที่้ล้นเหลือในการช่วยเหลือผู้คน …ก่อนที่จะกลับไปสร้างความปั่นป่วนให้คนรอบตัวต่อไป

ตำรวจโดยส่วนใหญ่ – Detective Conan

ถึงอนิเมะ “ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน” จะมีพื้นที่ให้ตัวละครเอกของเรื่อง อย่าง โคนัน/ชินอิจิ วาดลวดลายไขคดีอยู่เป็นประจำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตำรวจหลายต่อหลายคนในเรื่องนี้ ก็เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งใจทำงานปกป้องประชาชนจนเสียชีวิตส่วนตัวไปไม่น้อย ไหนจะ สารวัตรเมงูเระ,  ผู้หมวดทาคางิ, ผู้หมวดซาโต้ ที่ปรากฎตัวมาบ่อยๆ หรือจะเป็นฝั่งสันติบาลก็มี ฟุรุยะ เรย์ เป็นตัวเอก, ไม่เพียงแค่นั้น ในเมืองเบกะ ยังมี FBI อย่าง อากาอิ ชูอิจิ แฝงตัวอยู่อีกต่างหาก หรือถ้าบอกว่าแทบจะไม่มีโอกาสรอดเลยถ้าก่อคดีฆาตกรรมในเมืองเบกะ จนน่าสงสัยว่า องค์กรชุดดำ ยังรอดจากการโดนจับกุมได้อย่างไร

ยางามิ โซอิจิโร่ – Death Note

อนิเมะ Death Note อาจจะมีไฮไลท์เด่นที่การต่อสู้ระหว่าง คิระ/ไลท์ กับ L ก่อนจะสลับคู่ปรับมาเจอกับ เมลโลและเนียร์ แต่จริงๆ แล้ว นายตำรวจในอนิเมะเรื่องนี้ก็มีบทโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ ยางามิ โซอิจิโร่ ที่ถือว่าเป็นรูปลักษณ์ของคำว่า ‘ตำรวจตงฉิน’ ในเนื้อเรื่องจริง ๆ ไม่ว่าจะตั้งแต่ช่วงแรกของเรื่อง ที่ตำรวจในกรมตัดสินใจถอนตัวจากคดีคิระด้วยความรักตัวกลัวตาย แต่โซอิจิโร่กลับเป็นคนเดียวที่กล้าวิ่งเข้าหาภารกิจอันแสนอันตรายนี้

สึเนโมริ อากาเนะ – Psycho-Pass

ว่ากันตามจริงแล้ว ในรื่อง Psycho-Pass ไม่ได้มีกรมตำรวจโดยตรง แต่ในเรื่องยังมีหน่วยสืบสวนอาชญากรรม สังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ทำหน้าที่ตรวจสอบบุคคลที่มี “ค่าตัวเลขอาชญากร” แฝงอยู่สูง รวมถึงทำหน้าที่จัดการผู้ก่อเหตุร้าย เบ็ดเสร็จในอาชีพเดียว แต่เมื่อระบบซีบิลในเรื่องนั้นได้รับความเชื่อถือจากประชาชนมาก หลายคนเลยตัดสินใจจับกุมคนร้ายตามตัวเลขที่ขึ้นในโดมิเนเตอร์ (เครื่องชี้วัดค่าอาชญากร) แต่สำหรับ สึเนโมริ อากาเนะ นั้น นับตั้งแต่ที่เธอทำงานในแผนกนี้ตั้งแต่ในวันแรก เธอก็ใช้มนุษยธรรมสนับสนุนการตัดสินใจในการทำงานเสมอ ถึงบางครั้งการตัดสินใจของเธอจะดูไม่เด็ดขาด แต่ผลลัพธ์ที่เธอเลือก โดยส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อช่วยเหลือคนที่ค่าไซโคพาสต่ำ ๆ ได้ปลอดภัยจากเหตุร้าย และทำให้คนที่มีตัวเลขเกินได้มีโอกาสมีชีวิตรอดต่อไป ไม่ต้องจบชีวิตด้วยการถูกยิงทิ้งสถานเดียว

คุซานางิ โมโตโกะ – Ghost In The Shell

คุซานางิ โมโตโกะ จากเรื่อง Ghost In The Shell ซึ่งเราขอกล่าวถึงในฉบับภาพยนตร์แอนิเมชันเป็นหลัก เพราะเรื่องราวค่อนข้างนิ่งแล้ว ตัวของ คุซานางิ โมโตโกะ เป็นไซบอร์กในร่างหญิงสาว ที่่ใช้ทักษะจากร่างของเธอทั้งในด้านการต่อสู้และการ ‘ล่อง’ ไปดูข้อมูลของคนอื่น ๆ แต่สุดท้ายในฉบับภาพยนตร์ เธอก็สละ ‘เปลือก’ ของตัวเองกลายเป็น ‘ผี’ ที่เข้าสู่ระบบไซเบอร์แห่งใดก็ได้อย่างแท้จริง แต่ก็พร้อมจะกลับมาจากโลกไซเบอร์เพื่อช่วยเหลือทั้งเพื่อนของเธออยู่เสมอ ๆ

สำหรับภาคอื่นๆ เธออาจจะมีความห่าม หรือมีความหัวขบถมากกว่าฉบับภาพยนตร์ แต่โดยรวมแล้วก็ยังทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือคนด้วยทักษะร่างกายของเธอ ถือว่าเป็นตำรวจสายลุยที่ไว้วางใจได้อยู่เสมอ

ชิโนฮาระ อาสุมะ – Patlabor

หากเทียบกับซีรีส์คนแสดง Patlabor ถือว่าเป็นละครตำรวจที่บังเอิญมีการขับหุ่นเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ในเรื่องก็มีตำรวจที่ดีอยู่หลายคน แต่ที่เรายก ชิโนฮาระ อาสุมะ เพราะตัวเขามีความน่าสนใจ นับตั้งแต่การที่จริงๆ แล้วเขาเป็นทายาทของบริษัทอุตสาหกรรมหนักชิโนฮาระที่ผลิตหุ่นเลเบอร์ (หุ่นยนต์ยักษ์ภายในเรื่อง) แต่เขากลับอยากจะทำงานใกล้ชิดผู้คน และถึงเจ้าตัวจะไม่ได้ขับหุ่นเป็นงานหลักแบบ อิซุมิ โนอา ตัวเอกอีกคน แต่เขาก็ถือว่าเป็นคนที่คอยช่วยมองสถานการณ์ในภาพรวม และเมื่อถึงเวลาจำเป็นเจ้าตัวก็สามารถขับหุ่นเลเบอร์ได้อย่างดีกว่านักบินประจำการบางคนเสียด้วยซ้ำ แต่อาจจะดูมีปัญหาสักหน่อยที่สมาชิกคนอื่นในหน่วยมักจะก่อความวุ่นวายจนเกินเลยนั่นล่ะ

สึจิโมโตะ นัทสึมิ  & โคบายาคาวะ มิยูกิ – You’re Under Arrest

ด้วยชื่อเรื่อง ‘ตำรวจสาวจอมซ่าส์’ อาจจะทำให้คนเข้าใจกันว่า นัทสึมิ กับ มิยูกิ ที่เป็นตัวเอกจะเอาแต่สร้างความวุ่นวาย แต่จริง ๆ พวกเธอก็ยังทำงานรักษาความสงบสุขของเมืองอยู่นะ และคู่นี้ก็มีความน่าสนใจตรงที่ นัทสึมิ จะเป็นสาวหัวร้อนสายบู๊ทรงพลัง ส่วน มิยูกิ เป็นสาวสุขุมสายบุ๋นและถนัดการขับขี่พาหนะที่ขัดกับนิสัยของเธอ ทำให้เวลาปฏิบัติการจะเกิดความดุเดือดเกิดพอดีไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เรื่องราวก็มักจะลงเอยด้วยดีพอสมควรนะ

เบรียเรอุส & ดิวนัน – Appleseed

Appleseed เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่น 3DCG ที่ดัดแปลงมาจากมังงะของอาจารย์มาซามุเนะ ชิโร่ (เป็นผู้เขียนมังงะ Ghost In The Shell ด้วย)  ที่เล่าเรื่องของโลกอนาคตที่เกิดความเปลี่ยนแปลงในโลกมาก เทคโนโลยีไซบอร์ก กับ ไบโอรอยด์ (มนุษย์ดัดแปลง) กลายเป็นเรื่องปกติ และประเทศในโลกก็เปลี่ยนไปมาก กองกำลังที่คอยรักษาความปลอดภัยให้ประชาชนกลายเป็นหน่วยงานใกล้เคียงกองทัพ

ตัวเอกอย่าง เบรียเรอุส กับ ดิวนัน คือผู้ที่สังกัดหน่วย ES.W.A.T ที่ทำหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมรวมไปถึงต่อต้านการก่อการร้าย ดิวนันนั้นเป็นมนุษย์เต็มตัว ส่วน เบรียเรอุส เป็นไซบอร์ก เพราะเสียร่างกายเดิมไป ทั้งสองคนชำนาญการใช้อาวุธ รวมถึงขับหุ่นรบขนาดเล็ก เพื่อรักษาความสงบสุขให้ทั้งมนุษย์และไบโอรอยด์อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข กระนั้นถ้าสองตัวเองนี้ออกมาลุยมันมักจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น  ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าให้พวกเขาออกปฏิบัติงานเต็มตัวบ่อย ๆ เลยนะ

จริง ๆ แล้วตอนแรกเราก็นึกถึง ตำรวจเหล็กจีบัน อยู่ในใจ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่อนิเมะแบบเต็มตัวเท่าไหร่ และถ้ามองไปที่กฎของตำรวจเหล็กแต่ละข้อก็ดูเป็นการสำเร็จโทษเสียมากกว่าจับกุมพิกล (ใช่ เพราะกลุ่มผู้ชมเป้าหมายของเขาคือเด็ก ๆ ที่ต้องการฉากต่อสู้เร้าใจ ระเบิดตูมตามจนเจ้าของสถานที่ถ่ายทำแอบงอน) และถ้าท่านที่แวะเวียนมาอ่านทุกท่าน นึกถึงตำรวจดีคนอื่นๆ ในอนิเมได้อีก ก็มาพูดคุยกันได้ในช่องสนทนานะ

รีวิว EVANGELION 3.0+1.0 (ไม่สปอยล์) เมื่อเอวานเกเลียนสอนเราถึงความหมายของ “ความสุข”

หลังจากรอกันมากว่า 8 ปี ในที่สุด “ภาคต่อ” ของ Rebuild of Evengelion ซึ่งจะเป็น “ภาคจบ” ของภาพยนตร์ซีรี่ส์นี้ ก็ได้ออกฉายแล้ว และก็สมการรอคอยเพราะทำรายได้อย่างถล่มทลายในญี่ปุ่นแม้จะเป็นช่วงที่สถานการณ์ไวรัสระบาดจะยังไม่สงบดีนักก็ตาม

และหนึ่งในทีมงานของ Akibatan ที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ก็ได้รับชมภาพยนตร์ภาคนี้ตั้งแต่เข้าฉายวันแรกเลยทีเดียว จะเป็นอย่างไรนั้น ก็มารีวิวให้อ่านกันเรียกน้ำย่อยครับ (ไม่สปอยล์เนื้อหาส่วนสำคัญ) เรื่องราวนั้นเดินเรื่องต่อจากภาค 3.0 เลย ดังนั้นอย่างน้อย ๆ ที่สุดคือทุกคนต้องรู้เนื้อหาของ Rebuild of Evangelion ตั้งแต่ 1.0 มาจนถึง 3.0 เสียก่อน และมีอีกหลาย ๆ ส่วนที่อ้างอิง หรือพาดพิงไปถึง Neon Genesis Evangelion ซีรี่ส์แรก และ The End of Evangelion ด้วย ดังนั้น นอกจากจะเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาอย่างสมบูรณ์แล้ว การจะเข้าถึงความรู้สึกทั้งหมดที่ผู้กำกับอยากจะถ่ายทอดออกมา ก็ควรจะได้ผ่านเรื่องราวทั้งหมดของฉบับอนิเมชั่นที่ผ่านมาทุก ๆ ภาค ทุก ๆ เวอร์ชั่นครับ

เนื้อหาของภาคนี้เริ่มด้วยเหตุการณ์ตามคลิปโปรโมต 10 นาทีแรกของภาพยนตร์ ที่กลุ่มของพวกมิซาโตะ ออกปฏิบัติการชิงพื้นที่ ๆ ปารีส เพื่อทำการปักเสาสีดำที่มีประสิทธิ์ภาพในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่สีแดงที่พังทลาย ให้กลับมามีสภาพปกติได้ และเก็บกู้อุปกรณ์ที่จะใช้กับเครื่องเอวานเกเลียน 02 ที่พังชำรุดในภาคที่แล้ว ให้กลับมาต่อสู้ได้อีกครั้ง ในขณะที่พวกชินจิ อาสึกะ และเรย์ ก็ยังคงเดินทางเร่ร่อนในดินแดนที่พังทลาย แต่ก็มี “กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง” มาพบและช่วยเหลือพวกเขาไว้ และกลุ่มคนพวกนี้เอง ก็จะนำพาเรื่องราวที่จะช่วยตอบหลาย ๆ ข้อสงสัยของภาค 3.0 ได้มากขึ้น ในภาค 3.0 เป็นเหตุการณ์ Timeskip ที่ข้ามเรื่องราวที่เกิดขึ้นท้ายภาค 2.0 มาถึง 14 ปี โลกทั้งใบพังทลายกลายเป็นสีแดง และเกิดเรื่องราวมากมายที่ชวนงุนงงและเต็มไปด้วยคำถาม แต่สำหรับภาคนี้ (3.0+1.0) จะพาเราไปดูแง่มุมบนโลกสีแดงนี้ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และสิ่งที่ตัวเอกได้ประสบพบเจอ จะสอนให้เหล่า “นักขับเครื่องเอวา” ได้รู้จักกับชีวิตอีกรูปแบบที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน และสัมผัสได้ถึงการสื่อใจเข้าหากันจุดนี้จะตรงข้ามกับที่ผ่าน ๆ มา ที่เรื่องราวพร่ำบอกเราแต่ “ทฤษฎีตัวเม่น” ที่หากเข้าหากันก็จะถูกหนามทิ่มแทงจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย แทนค่าการตั้งกำแพงที่คนสองคนจะเข้าถึงกันและกันได้หากจุดจบใน The End of Evangelion ได้บอกเราว่า จุดสิ้นสุดของทุกสิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อกำแพงแห่งจิตใจสลายไป ทุกชนิดจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่สิ่งนั้นจะมีความหมายอะไร ในเมื่อความทุกข์ก็ไม่มี ความสุขก็ไม่เกิด และชีวิตนั้นจะคงอยู่เพื่อเจตจำนงอะไร? ภาคนี้เปรียบเสมือนการ “คัดค้าน” สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และนำพาเราไปสู่บริบทใหม่ ๆ ของ Evangelion ว่าการสลายกำแพงจิตใจ โดยที่แม้ว่าเรายังคงมีความทุกข์อยู่เพียงใด แต่ก็สามารถเผชิญหน้ากับมันได้อย่างเข้มแข็ง หากเราไม่ทอดทิ้งความสุขที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเราที่เป็นดั่งยาเติมพลังใจให้กับเรา เพราะไม่เคยมี Evangelion ภาคไหน ๆ ให้ความรู้สึกแบบนี้มาก่อนครับ อาจจะเป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบแล้วรู้สึก “อิ่มเอิบ” ก็เป็นได้ และอ่านถึงตรงนี้ อาจจะงงว่า เฮ้ย นี้มันหนังโลกสวยหรืออะไรหรือเปล่า แล้วฉากแอคชั่นอันตื่นตาอลังการงานสร้างล่ะเป็นอย่างไร ส่วนนี้ต้องบอกว่า ยังคงมีฉากต่อสู้ที่ตื่นตาไม่น่าผิดหวังครับ เราจะได้เห็นทั้งแมคคานิคที่แปลกตา และการสาดกระสุนกันดุเดือด และไฮไลท์ที่ต้องขอบอกใบ้ว่า ยานวุนเดอร์ของมิซาโตะนั้น ก็มีฉากสู้รบกลางเวหาที่น่าประทับใจหลายฉากเลย ซึ่งมีบางซีนชวนรู้สึกถึงความบ้าพลังระดับกุเรนลากันน์ และบางตอนก็มีกลิ่นอายของอนิเมชั่นไซไฟอวกาศยุค 80-90 มาก แต่จุดหนึ่งที่ผู้เขียนก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นการจงใจหรือเป็นข้อบกพร่อง ก็คือในช่วงท้ายเรื่องนั้น มีหลายฉากที่ภาพกลายเป็นลายสเก็ตช์ขาวดำบนกระดาษ ที่บางฉากเป็นงานวาดหยาบ ๆ ขึ้นฉายบนจอพร้อมกับเสียงพากย์ ที่อธิบายได้ยากว่านี่คือการเผางานหรือการจงใจสื่อความหมายบางอย่างเพิ่มเติม และภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวมากถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวและเนื้อหา ที่เรียกได้ว่ามันควรจะเป็น เรื่องเดียวกับภาค 3.0 เลยครับ ภาค 3.0 เราจะเห็นว่าเนื้อเรื่องนั้นมีสั้นนิดเดียว ซึ่งนั่นก็ไม่แปลก เพราะส่วนที่เหลือของมันคือเนื้อหาทั้งหมดของ 3.0+1.0 นี้เอง แต่กระนั้น หลาย ๆ อย่างที่เนื้อเรื่องเคยตั้งคำถามไว้ ก็มีเพียงบางเรื่องเท่านั้นที่ตอบเรา แต่บางเรื่องก็ถูกปล่อยผ่านไปราวกับเป็นเพียงการตั้งคำถามลอย ๆ ให้ผู้ชมไปปะติดปะต่อกันเอาเอง

แฟนๆ มีลุ้น! เราอาจจะได้เห็น Vtuber ตัวละครลิขสิทธิ์จาก Shonen Jump

ในปัจจุบันเรียกได้ว่ากระแส Vtuber มีอยู่ทุกที่จริงๆ ซึ่งมันเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้คนสามารถแสดงออกได้โดยไม่ต้องสนรูปร่างหน้าตาของตัวเอง ทำให้เหล่าผู้ชมได้โฟกัสที่ความสามารถในการ Entertainment จริงๆ ซึ่งสมัยนี้ก็เริ่มมีหลากหลายสังกัด Vtuber มากมาย และไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นตัวละครลิขสิทธิ์ของ Shonen Jump มาร่วมแจมอีกด้วย สาเหตุที่ทำให้แฟนๆ คิดแบบนั้นก็เพราะว่าในนิตยสารโชเน็นจัมป์ได้มีแบบสอบถามเกี่ยวกับ Vtuber โดยมีการถามว่า ได้ดูช่องเกี่ยวกับ Vtuber บ่อยหรือไม่, ดูช่องของใครบ้าง แต่ที่น่าสนใจหลังจากนั้นก็คือ “ถ้าโชเน็นจัมป์มี Vtuber เป็นของตัวเอง จะสนใจหรือไม่?” รวมไปถึง “อยากเห็นพวกเขาเหล่านั้นทำอะไรกันบ้าง?” อีกด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทางโชเน็นจัมป์ได้มีการเปิดแบบสอบถามตัวนี้ขึ้นมา เพราะในปี 2018 พวกเขาก็เคยทำแบบสอบถามเกี่ยวกับ VTuber มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนั้นได้มีการแถมแค่ว่าชอบคนไหนมากที่สุด ซึ่งมีตัวเลือกเพียงแค่ไม่กี่คนเท้านั้น ซึ่งแจกแบบสอบถามในครั้งนี้ก็ทำให้แฟนๆ คาดว่า อาจจะได้เห็น VTuber ซึ่งเป็นตัวละครลิขสิทธิ์แท้ๆ ของโชเน็นจัมป์ออกมาวาดลวดลายก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นผู้ที่มารับบทก็ต้องมีความสามารถอย่างมากเลยทีเดียว ที่แน่ๆ ก็ควรต้องเป็นนักพากย์เสียงแน่นอน แถมยังต้องแสดงให้เข้ากับบทตัวละครนั้นๆ อีกด้วย ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

TIGER & BUNNY เตรียมจัดอีเวนต์ฉลองครบรอบ 10 ปีของอนิเมะ

TIGER & BUNNY ฉบับอนิเมะที่มีการฉายครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2011 ซึ่งในปีนี้ก็เป็นการฉลองครบรอบ 10 ปีหลังจากที่ออกอากาศครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นแล้ว นอกจากนี้ในปี 2022 ที่กำลังจะถึงก็จะมีการฉายภาคต่ออย่าง “TIGER & BUNNY 2”

โดยรายการพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปีของอนิเมะ TIGER & BUNNY จะมีชื่อว่า “HERO TV presents Anniversary SPECIAL PROGRAM” และจะออกอากาศทางแพลตฟอร์ม YouTube วันที่ 3 เมษายน 2021 เวลา 18.00 น. (เวลาประเทศไทย) บอกเลยว่าแฟนคลับเรื่องนี้ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด!

TIGER & BUNNY เป็นอนิเมะแนวแอคชั่นที่มีฮีโร่ออกต่อสู้รักษาความสงบสุขของเมือง แต่ฮีโร่ของเรื่องนี้จะต่างจากเรื่องอื่น ๆ เพราะว่าฮีโร่เป็นเพียงแค่งานประเภทหนึ่งและยังต้องคอยแย่งความนิยมจากผู้ชม เพื่อที่จะได้ทำสัญญากับสปอนเซอร์ โดยเรื่องราวจะโฟกัสไปที่ฮีโร่มืออาชีพ Wild Tiger ที่กำลังตกอับจนต้องไปจับคู่กับฮีโร่หน้าใหม่ที่ชื่อ Bunny ออกต่อสู้กับเหล่าร้าย “ไม่แน่ว่าอาจจะมีการเผยรายละเอียดของซีซั่น 2 ที่หลายคนรอคอยก็เป็นได้!”